ท่อง"บริติช มิวเซียม" ทึ่ง-โชว์"มัมมี่"อียิปต์

 

 

 

        พิพิธภัณฑ์อังกฤษ หรือ "บริติช มิวเซียม" (British Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตและเก่าแก่ มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์

        จุดเริ่มมาจากการเก็บรวบรวมของสะสมของ "เซอร์ ฮันส์ สโลน" (Hans Sloane) แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่ชอบสะสมของโบราณ เมื่อมีจำนวนมากขึ้นก็มอบทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้กับรัฐบาลอังกฤษ พร้อมทั้งกำชับว่าห้ามเก็บค่าเข้าชมเด็ดขาด

        บริติช มิวเซียม เริ่มก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1753 ตรงกับปีพ.ศ.2296 นับเวลานี้ก็อายุปาเข้าไปแล้ว 253 ปี โดยงบประมาณที่นำมาก่อสร้างครั้งนั้น รัฐบาลอังกฤษใช้วิธีออกสลากล็อตโต้

        หลังคาช่วงแรกของพิพิธภัณฑ์จะมุงด้วยหลังคากระจก ออกแบบโดยสถาปนิก "เซอร์ นอร์แมน โฟ" สว่างชนิดไม่ต้องง้อแสงไฟ รอบๆ มีร้านขายขนม มีโต๊ะประชาสัมพันธ์ มีร้านขายของที่ระลึกและขายหนังสือ

        กลุ่มที่เข้ามานอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีกลุ่มนักเรียนหลายกลุ่ม โดยคุณครูจะคอยอธิบายเรื่องราวให้ฟัง หนังสือที่หายากที่สุดก็จะมีให้อ่านในห้องอ่านหนังสือที่นี่ เคยมีบุคคลสำคัญระดับโลกอย่าง "คาร์ล มาร์กซ์" และ "เลนิน" มานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้มาแล้ว

        โบราณวัตถุต่างๆ จากทุกทวีปทั่วทุกมุมโลกที่จักรวรรดิอังกฤษแผ่อำนาจไปถึง อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะลุ่มแม่น้ำไทกรีสยูเฟรตีส ในเปอร์เซีย, ลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์, กรีก โรมัน ในยุโรป, ลุ่มแม่น้ำสินธุ ประเทศอินเดีย, ลุ่มน้ำฮวงโห ประเทศจีน หรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีให้เห็นวัตถุโบราณล้ำค่าทางประวัติศาสตร์มีมากกว่า 7 ล้านชิ้น ในจำนวนนี้เก็บไว้ในชั้นใต้ดิน เนื่องจากไม่มีเนื้อที่พอตั้งโชว์ แม้แต่ชิ้นส่วนของวิหารอิเลคธีออน ท่านลอร์ดเอลกิน ก็ยังนำมาไว้ที่ ณ ที่แห่งนี้ จำนวนหลายร้อยห้องของที่นี่ต้องใช้อย่างน้อย 3-5 วัน แต่ถ้ามีเวลาไม่กี่ชั่วโมงเลือกชมห้องที่สนใจที่สุด

        "ห้องอียิปต์" ว่ากันว่าสมบูรณ์ที่สุด จะเป็นรองก็แต่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโรเท่านั้น ภายในห้องจะจัดแสดงทรัพย์สมบัติของชาวแอสซีเรียน มัมมี่อียิปต์ และศิลาโรเซตตา ซึ่งเป็นศิลาจารึกอียิปต์สมัย 196 ปีก่อนคริสตกาล สลักเป็น 2 ภาษา คืออียิปต์ และกรีก

        ศิลานี้ใช้แบบตัวอักษร 3 แบบ แบบแรกเรียกว่า "เฮียโรกลีฟิก" อักษรอียิปต์โบราณ ใช้เพื่อกรณีพิเศษ หรือเกี่ยวกับศาสนา แบบที่ 2 เรียกว่า "เดโมติก" ภาษาโดยทั่วไป เป็นภาษาธรรมดาที่ใช้ในอียิปต์ และแบบที่ 3 คือภาษากรีก ก้อนหินจะแบ่งเป็น 3 ช่วงชัดเจน จารึกบนหินก้อนนี้ทำให้ปริศนาของอียิปต์ถูกไขออก

        จากศิลาโรเซตตา มาที่วิวัฒนาการมัมมี่ เริ่มที่ซากศพชาวอียิปต์ที่ถูกฝังบนพื้นทราย เป็นซากศพสมบูรณ์ ว่ากันว่า เล็บ และเส้นผมงอกมาเรื่อยๆ ทุกปี ปรื๋อ!! ถัดมาเป็นมัมมี่สตรี ระบุว่าเป็นสตรีที่มีฐานะและหน้าตาดี โครงหน้าที่เห็นชัดคือจมูกโด่งเป็นสันสวยงาม

        มัมมี่ทั้ง 2 นี้ เป็นการอธิบายว่า ในสมัยอียิปต์โบราณนำศพไปฝังไว้ในทะเลทรายร้อนระอุ ความร้อน และความแห้งแล้งทำให้ร่างกายแห้งอย่างรวดเร็ว แบคทีเรียไม่มีโอกาสย่อยสลายศพเสียก่อน จึงกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติ   

        ต่อไปเป็นซากกระดูกพร้อมโลงศพ ช่วงหนึ่งชาวอียิปต์ใช้โลงบรรจุศพก่อนฝัง ป้องกันมิให้สัตว์ป่าแทะกินศพ แต่ซากศพที่ฝังในโลงเปื่อยเน่าไป ไม่แห้งและอยู่คงทนเหมือนแต่ก่อน เหตุเพราะโลงศพเก็บกักความชื้นจากร่างกาย ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโต และย่อยสลายให้ศพเน่าเปื่อยสูญไปได้ ส่วนตู้โชว์มัมมี่ที่สมบูรณ์ พร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัว เแสดงถึงความพยายามของชาวอียิปต์ศึกษา เพื่อจะรักษาสภาพศพให้คงทนอยู่ได้ ด้วยการแช่อาบศพเพื่อชะงักการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แล้วพันด้วยแถบผ้าลินิน เรียกกรรมวิธีนี้ว่า การทำมัมมี่

ขั้นตอนการทำมัมมี่

            ขั้นแรกคือ การแช่อาบศพ อาบศพด้วยเหล้าที่ทำจากน้ำตาลสด และชำระล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ ผ่าช่องท้องด้านซ้าย เพื่อเอาอวัยวะภายในออก เหลือไว้แต่หัวใจ ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์รวมแห่งปัญญา ผู้ตายยังต้องใช้ในโลกแห่งวิญญาณ

            ชำระล้างอวัยวะภายในจนสะอาดกลบด้วยเกลือเม็ดเนตรอน

            สอดขอที่ทำด้วยสำริดเข้าทางช่องจมูกเกี่ยวเอาเนื้อสมองออกมา วางกลบด้วยเกลือเม็ดให้แห้ง ช่องว่างภายในก็ใส่เกลือเม็ดป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

            ศพจะถูกแช่เกลือ 40 วันจนแห้ง และจะถูกนำมาชำระด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์อีก เคลือบผิวหนังด้วยน้ำมันให้ผิวหนังคงสภาพอ่อนนุ่ม

            อวัยวะภายในที่แห้งจะถูกจับยัดเข้าไปพร้อมขี้เลื่อย หรือใบไม้ และผ้าลินิน เพื่อให้ดูเหมือนยามมีชีวิตอยู่ ไม่ยุบตัวลง จากนั้นจะชำระศพด้วยน้ำมันหอมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะนำไปพันผ้าลินิน

การพันห่อมัมมี่

            ขั้นแรก จะพันศีรษะและลำคอก่อน ด้วยแถบผ้าลินินแล้วก็จะพันนิ้วมือ และนิ้วเท้าแยกกันทีละนิ้ว แล้วก็พันห่อแขนและขา แต่ละทบก็จะใส่เครื่องราง เพื่อปกปักรักษาผู้ตายในระหว่างการเดินทางไปสู่ภพใหม่

        ผู้เชี่ยวชาญจะพันแขนขามัมมี่เข้ากับส่วนร่าง ตำรา "มนตราสำหรับผู้ตาย" ก็จะรวมห่อไปด้วยให้ถือไว้ในมือของมัมมี่

        จากนั้นจะพันผ้าเพิ่มรวมให้ร่างถูกพันรวมกันหมด แต่ละชั้นของผ้าลินิน ผู้ทำมัมมี่จะทาไว้ด้วยเรซิ่น เพื่อให้ผ้าลินินยึดติดกัน แล้วห่อด้วยผ้าผืนใหญ่อีกทีหนึ่ง จะวาดรูปเทพ "โอซีรีส" บนผ้าที่ห่อมัมมี่นั้น

        เอาผ้าผืนใหญ่ห่ออีกชั้นหนึ่ง แล้วมัดตราสังด้วยแถบผ้าลินินตลอดร่างเป็นครั้งสุดท้าย ปิดด้านบนของมัมมี่ด้วยแผ่นกระดาน ก่อนจะเอาไปใส่ในโลงศพ 2 โลงซ้อนกัน

                เอาโลงไปใส่ในโลงหินแกะสลัก พร้อมด้วยเครื่องเรือน เสื้อผ้า ของมีค่า อาหารและเครื่องดื่ม จะถูกจัดวางไว้อย่างพร้อมเพรียง เป็นเสบียงให้ผู้ตายได้เดินทางสู่ปรภพ

 

 

ภาพประกอบสถานที่

 

Home